เจ้าของร้านอาหาร ย่านภาษีเจริญ แจงปม "เพจสายไหมต้องรอด" พาสาว 21 ร้อง "บิ๊กโจ๊ก" อ้างถูกกระทำอย่างไม่เป็นธรรม พร้อมแฉพฤติกรรมชนิดหนังคนละม้วน
25 ต.ค. 2566 เจ้าหน้าที่ตำรวจ สน.ภาษีเจริญ พร้อมด้วยเจ้าหน้าที่พิสูจน์หลักฐาน ลงพื้นที่ร้านอาหารแห่งหนึ่ง ย่านภาษีเจริญ หลังจากเพจสายไหมต้องรอด พา น.ส.ดาว (นามสมมติ) อายุ 21 ปี เข้าร้องต่อ พล.ต.อ.สุรเชษฐ์ หักพาล รองผู้บัญชาการตำรวจแห่งชาติ (รอง ผบ.ตร.) ว่าถูกนายจ้างซึ่งเป็นเจ้าของร้านอาหารย่านภาษีเจริญ ทำร้ายร่างกายด้วยการจุดไฟเผา จับขังทรมานนานหลายปี จนตามร่างกายมีร่องรอยบาดแผลทั่วทั้งตัว
ผู้สื่อข่าวลงพื้นที่ไปยังร้านอาหาร บริเวณถนพุทธมณฑลสาย 1 ซึ่ง น.ส.ดาว (นามสมมติ) ระบุว่าเป็นร้านที่ทำงานอยู่ โดยมี น.ส แอน (นามสมมติ ) เจ้าของร้านนำผู้สื่อข่าวตรวจสอบภายในร้าน พบบริเวณฝ้าเพดานห้องมีร่องรอยความเสียหาย ทะลุมาร้านข้างๆ ที่อยู่ติดกัน รวมถึงภายในครัวข้างหลังร้าน ที่ถูกระบุว่า นายจ้างให้เป็นที่นอน จากการตรวจสอบพบว่า ถูกแบ่งเป็น 2 ห้อง เป็นห้องครัว อีกห้องเก็บของและใช้นอน ซึ่งห้องดังกล่าว น.ส.ดาว (นามสมมติ) ผู้เสียหายระบุว่าเป็นห้องที่เคยถูกจับขังๆ ไว้ก่อนที่จะตัดสินใจปีนหนีออกมา
ด้าน น.ส.แอน(นามสมมติ) เจ้าของร้านเปิดเผยว่า น.ส.ดาว เคยมาเป็นพนักงานที่ร้าน ตั้งแต่ปี 2561 ทำงานได้เกือบ 1 ปี ก่อนจะมีปัญหาเรื่องการลักทรัพย์ ตนจึงให้ออกจากงาน ต่อมา ปี 2563 น.ส.ดาว (นามสมมติ) กลับมาที่ร้าน พร้อมกับตั้งครรภ์ โดยอ้างว่าถูกข่มขืน จึงอยากให้ตนช่วยเหลือ โดยการรับกลับเข้าทำงานอีกครั้ง ตนจึงตัดสินใจรับเข้าทำงาน
ตลอดระยะเวลาที่ น.ส.ดาว (นามสมมติ) ทำงานอยู่นั้น ตนพยายามดูแลโดยการพาไปโรงพยาบาล ไปฝากครรภ์ และทำตามขั้นตอนของแพทย์ จนถึงช่วงคลอด ซึ่งระหว่างนั้นมีเจ้าหน้าที่ไปประเมินที่บ้านของ น.ส.ดาว (นามสมมติ) และพบว่ามีสภาพความเป็นอยู่ที่ไม่สามารถดูแลเด็ก จึงส่งเรื่องให้กับมูลนิธิแห่งหนึ่งรับเด็กไปดูแลต่อ
ซึ่งขอยืนยันว่า ตนไม่ได้ส่งตัวเด็กไปอยู่มูลนิธิ แต่ตัว น.ส.ดาว (นามสมมติ) เป็นฝ่ายกดดันให้ทางมูลนิธิรับลูกไปเลี้ยง ทำให้ช่วงนั้นจึงเริ่มรู้สึกถึงความผิดปกติของ น.ส.ดาว
กระทั่ง ช่วง ธ.ค. 2565 น.ส.ดาว (นามสมมติ) มีปัญหากับเพื่อนร่วมงานซึ่งเป็นคนที่อาศัยอยู่ด้วยกัน และพบว่า น.ส.ดาว (นามสมมติ) มีการใช้ยาเสพติด แต่เกิดความเข้าใจผิดว่า ผู้เสพคือเพื่อนของ ที่อาศัยอยู่ด้วยกัน ตนจึงตัดสินใจไล่พนักงานคนนั้นออก และให้ น.ส.ดาว (นามสมมติ) ทำงานต่อ หลังจากนั้น น.ส.ดาว (นามสมมติ) เริ่มมีการนัดพบผู้ชายออกไปนอกร้านตอนกลางคืน ขโมยสิ่งของภายในร้าน และถูกจับได้จึงได้ตักเตือนไป ซึ่งเจ้าตัวยอมรับผิดและขอไม่ให้เอาเรื่อง
ส่วนเรื่องที่พักภายในร้าน น.ส.ดาว (นามสมมติ) เช่าห้องอยู่ใกล้กับร้าน แต่ช่วงต้นปีที่ผ่านมา อ้างว่ามีปัญหากับเพื่อนร่วมห้องเช่า จึงขออนุญาตตนมาพักอาศัยอยู่ภายในร้านเป็นครั้งคราว ซึ่งตัว น.ส.ดาว (นามสมมติ) มีกุญแจร้านที่สามารถเข้าออกได้สะดวก แต่เมื่อกลับมาพักที่ร้าน น.ส.ดาว (นามสมมติ) เริ่มขโมยสิ่งของภายในร้าน ลามไปร้านค้าข้างเคียง และยังพาผู้ชายที่ไม่รู้จักเข้ามาในพื้นที่ส่วนกลาง
นอกจากนี้ เคยมีที่เจ้าของร้านแจ้งความผิด แต่ น.ส.ดาว (นามสมมติ) ได้วิดีโอคอลมาหา พยายามทำร้ายร่างกายตัวเองผ่านวิดีโอคอล เพื่อไม่ให้ไล่ออกหรือดำเนินคดี ส่วนร่องรอยบาดแผลที่เห็นนั้น น.ส.หมิว อ้างว่า ถูกทำร้ายโดยกลุ่มคนที่ให้เปิดบัญชีม้า
ส่วนเรื่องเงินเดือนที่อ้างว่าไม่เคยได้รับเงินเลย เจ้าของร้านยืนยันว่า จ่ายไปตามปกติ ที่ผ่านมา มักอ้างกับคนอื่นว่า ต้องรับผิดชอบค่าใช้จ่ายของลูกที่ต้องนำไปฝากแม่ แต่ในความเป็นจริง ไม่ได้มีภาระค่าใช้จ่ายใดๆ ทั้งนี้ วันที่ น.ส.ดาว (นามสมมติ) ปีนฝ้าเพดานหลบหนี เนื่องจาก ตนทนพฤติกรรมของ ไม่ไหว ทั้งการขโมย ถอดเมมโมรี่การ์ดวงจรปิด จนกล้องทั้งหมดในร้านเสีย ตนจึงจะแจ้งความ ซึ่งอาจทำให้ กลัวความผิด ว่าถูกดำเนินคดี จึงปีนฝ้าเพดานข้ามไปร้านข้างๆ
อย่างไรก็ตาม ผู้สื่อข่าวได้สอบถามข้อมูลเกี่ยวกับน.ส.ดาว (นามสมมติ) จากด้านผู้จัดการสถานที่ เปิดเผยว่า เคยว่ากล่าวตักเตือนเมื่อเห็น น.ส.ดาว (นามสมมติ) ขโมยของกิน ซึ่งเจ้าตัวตอบกลับมาว่า "ชอบขโมยกินอาหารจนติดเป็นนิสัยแล้ว" ส่วนเรื่องที่อ้างว่าถูกทำร้ายร่างกาย ก็เคยถามว่าไปถูกอะไรมา น.ส.หมิว บอกว่า "ไปเล่นสเกตบอร์ดแล้วล้ม จึงเป็นแผล" ส่วนจะถูกทำร้ายหรือไม่นั้น ไม่ทราบข้อเท็จจริง แต่หาก ถูกทำร้ายร่างกายจริง โอกาสที่จะขอความช่วยเหลือก็สามารถทำได้เพราะเจอกับตนทุกว้น แต่เจ้าตัวไม่เคยมาบอกอะไรเลย
ข่าวที่เกี่ยวข้อง