ข่าว

อุทธรณ์ ยืน คุก 1 ปี 'ธณิกานต์' อดีต สส. พปชร. คดีเสียบบัตรแทนกัน

เกาะติดข่าวสาร >> คมชัดลึก ออนไลน์
logoline

ศาลฎีกา แผนกคดีอาญาผู้ดำรงตำรงตำแหน่งทางการเมือง อ่านคำพิพากษาศาลอุทธรณ์ พิพากษายืน จำคุก 1 ปี ปรับ 2แสน คดี "ธณิกานต์" อดีต สส. พลังประชารัฐ คดีเสียบบัตรแทนกัน เมื่อปี 2562

เมื่อวันที่ 20 ก.ค. 2566 ศาลฎีกาแผนกคดีอาญาของผู้ดำรงตำแหน่งทางการเมือง อ่านคำพิพากษาชั้นวินิจฉัยอุทธรณ์คดี หมายเลขแดง ที่ อม.อธ.๙/๒๕๖๖  ระหว่างอัยการสูงสุด โจทก์ น.ส.ธณิกานต์ พรพงษาโรจน์ จำเลย 

 

คดีดังกล่าวสืบเนื่องจาก อัยการสูงสุด เป็นโจทก์ฟ้องจำเลยว่า เมื่อวันที่ ๘ ส.ค. ๒๕๖๒ เวลากลางวัน จำเลยในฐานะสมาชิกสภาผู้แทนราษฎร ซึ่งเป็นผู้ดำรงตำแหน่งทางการเมืองและเป็นเจ้าพนักงานของรัฐ ลงชื่อเข้าร่วมประชุมสภาผู้แทนราษฎร ชุดที่ ๒๕ ปีที่ ๑ ครั้งที่ ๑๔ (สมัยสามัญประจำปีครั้งที่หนึ่ง) โดยไม่ได้ลาประชุม ระหว่างเวลาประมาณ ๑๓.๓๐ ถึง ๑๕.๐๐ น. ซึ่งมีการพิจารณาร่างพระราชบัญญัติ เหรียญราชรุจิ รัชกาลที่ ๑๐ พ.ศ. ... โดยจำเลยไม่ได้อยู่ในที่ประชุม และได้ฝากบัตรอิเล็กทรอนิกส์แสดงตนและลงมติของจำเลยกับสมาชิกสภาผู้แทนราษฎรรายอื่น  เพื่อให้สมาชิกสภาผู้แทนราษฎรรายนั้นใช้บัตรของจำเลยกดปุ่มแสดงตนและลงมติแทน  โดยมีเจตนาทุจริตแสวงหาประโยชน์เพื่อตนเองหรือผู้อื่น หรือมีพฤติการณ์ที่รู้เห็นหรือยินยอมให้ผู้อื่นใช้ตำแหน่งหน้าที่ของตนแสวงหาประโยชน์โดยมิชอบจากการออกเสียงลงคะแนนแทนกัน ขอให้ลงโทษ ตามพระราชบัญญัติประกอบรัฐธรรมนูญว่าด้วยการป้องกันและปราบปรามการทุจริต พ.ศ. ๒๕๖๑ มาตรา ๑๗๒

 

ศาลฎีกาแผนกคดีอาญาของผู้ดำรงตำแหน่งทางการเมืองพิจารณาแล้วพิพากษาว่า จำเลยมีความผิดตาม พระราชบัญญัติประกอบรัฐธรรมนูญ ว่าด้วยการป้องกันและปราบปรามการทุจริต พ.ศ. ๒๕๖๑ มาตรา ๑๗๒  จำคุก ๑ ปี และปรับ ๒๐๐,๐๐๐ บาท โทษจำคุกให้รอการลงโทษไว้ ๒ ปี ตามประมวลกฎหมายอาญา มาตรา ๕๖ หากจำเลยไม่ชำระค่าปรับให้จัดการ ตามประมวลกฎหมายอาญา มาตรา ๒๙ ,๓๐ กรณีต้องกักขังแทนค่าปรับให้กักขังไม่เกิน ๑ ปี  จำเลยอุทธรณ์ต่อที่ประชุมใหญ่ศาลฎีกา 
 

องค์คณะวินิจฉัยอุทธรณ์เสียงข้างมากพิจารณาแล้ว เห็นว่า คดีนี้ ศาลฎีกาแผนกคดีอาญาของผู้ดำรงตำแหน่งทางการเมืองให้โอกาสโจทก์ และจำเลยนำพยานหลักฐานของแต่ละฝ่ายเข้าไต่สวนเพื่อพิสูจน์ความผิด หรือความบริสุทธิ์ของจำเลยแล้ว และยังได้เรียกพยานบุคคลมาไต่สวนเพิ่มเติม ตามที่เห็นสมควรด้วย  การที่ศาลจะลงโทษจำเลยได้หรือไม่ จึงต้องพิจารณาจากพยานหลักฐานทีได้ความตามทางไต่สวนทั้งหมดประกอบกัน หาใช่ศาลฎีกาแผนกคดีอาญาของผู้ดำรงตำแหน่งทางการเมืองฟังแต่เพียงสำนวนการไต่สวนของ คณะกรรมการ ป.ป.ช. แล้วผลักภาระการพิสูจน์ให้แก่จำเลยแต่ฝ่ายเดียวตามที่จำเลยอุทธรณ์ไม่  

 

เมื่อทางไต่สวนได้ความประจักษ์พยานโจทก์ว่า เมื่อวันที่ ๘ ส.ค. ๒๕๖๒ เวลา ๑๓.๑๕ น. จำเลยจัดทำโครงกานเสวนาแบ่งปันความรู้บทบาทแม่ยุคดิจิทัล ที่ สถาบันพัฒนาคุณภาวิชาการ เขตดุสิต กทม. เมื่อจำเลยมาถึงงาน ได้มีการพูดคุยเตรียมงานก่อนขึ้นเวทีเสวนา กับพยาน 


ต่อมาพิธีกร ได้เชิญขึ้นเวทีเสวนา ขณะนั้นเวลาประมาณ ๑๓.๓๐ น. โดยมีการพูดคุยกันใช้เวลาเกินกว่า ๓๐ นาที แต่ไม่เกิน ๑.๑๕ น. ก่อนออกจากสถานที่จัดงาน พยานกับจำเลยได้ถ่ายรูปร่วมกันบนเวที จากนั้นพยานใช้เวลาอีกประมาณ ๑๕ นาที ในการพูดคุยกับผู้มาร่วมงานถึงเวลา ๑๕.๐๐ น. จึงออกจากสถานที่จัดงาน โดยมีการบันทึกไทม์ไลน์ส่วนที่บันทึกไว้ใน Google Maps ยืนยันช่วงเวลา สัมพันธ์กับคำเบิกความของพยาน และสอดคล้องกับเหคตุการณ์ที่เกิดขึ้นตามลำดับขั้นตอน และใกล้เคียงกับเวลาการจัดงานเสวนา 

 

 

นอกจากนี้พยานจำเลยซึ่งเป็นผู้จัดงาน เบิกความว่า จำเลยมาถึงงานเวลาประมาณ ๑๓.๓๐ น. และทุกคนลงจากเวทีประมาณ ๑๔.๐๐ น. ประกอบกันจำเลยมีหนังสือชี้แจงแก้ข้อกล่าวหาว่า ในระหว่างการพิจารณาร่างพระราชบัญญัติดังกล่าว จำเลยมีกิจธุระสำคัญ ต้องออกจากที่ประชุมสภาฯ ไปร่วมงานเสวนา และจำเลยยังแจ้งควาไว้ต่อ พนักงานสอบสวน สน.บางโพว่า จำเลยมิได้เป็นผู้กดปุ่มแสดงตน และลงมติในวาระที่หนึ่ง เวลา ๑๓.๔๑ น. และวาระที่สาม เวลา ๑๔.๐๑ น. เพราะรีบออกไปร่วมงานเสวนา อันเป็นการยืนยันว่าจำเลยไม่ได้อยู่ในที่ประชุมสภาฯ ในเวลาที่เกิดเหตุ 

 

เมื่อข้อเท็จจริงปรากฎว่าจำเลยลงมติด้วยตนเองครั้งสุดท้ายเวลา ๑๓.๒๒ น. ต่อมาในการประชุมพิจารณาร่างพระราชบัญญัติเหรียญราชรุจิ รัชกาลที่ ๑๐ พ.ศ. ... มีการลงมติ ๒ ครั้ง โดยใช้บัตรอิเล็กทรอนิกส์ของจำเลย คือเวลา ๑๓.๔๑ น. และ ๑๔.๐๑ น. อันเป็นการลงมติต่อเนื่องจากเวลา ๑๓.๒๒ น. แสดงว่ามีบุคคลรู้ว่าจำเลยออกจากห้องประชุมเมื่อใด และจะกลับเข้ามาประชุมอีกหรือไม่ รวมทั้งต้องมีบัตรอิเล็กทรอนิกส์ของจำเลยในครอบครองเพื่อลงมติแทนจำเลยได้ เมื่อจำเลยกลับมาจากงานเสวนา ก็ได้ใช้บัตรอิเล็กทรอนิกส์ของตนลงมติในการแสดงตน และลงมติพิจารณาระเบียบวาระต่อไปอีกหลายครั้งจนปิดการประชุม 

 

พฤติการณ์บ่งชี้ว่าต้องการคบคิดปรึกษากันมาก่อน ที่จำเลยมีหนังสือชี้แจงแก้ข้อกล่าวหาต่อ คณะกรรมการ ป.ป.ช. ครั้งแรกยอมรับว่าจำเลยไม่อยู่ในที่ประชุม แต่ต่อมาจำเลยกลับมีหนังสือขอชี้แจงข้อเท็จจริงแก้ข้อกล่าวหาเพิ่มเติมว่าจำเลยมติร่างพระราชบัญญัติเหรียญราชรุจิ รัชกาลที่ ๑๐ พ.ศ. ... ด้วยตนเอง 

 

ต่อมากลับไปแจ้งความว่าจำเลยมิได้เป็นผู้กดปุ่มแสดงตนและลงมติดังกล่าว และเบิกความต่อศาลสรุปความได้ว่า จำเลยไปร่วมงานเสวนา การแสดงผลลงมติตามฟ้องน่าจะเกิดจากความผิดพลาดของระบบ หรืออาจมีผู้อื่นกดปุ่มลงมติโดยไม่ได้รับความยินยอมจากจำเลย การให้การของจำเลย จึงมีลักษณะกลับไปกลับมาไม่น่าเชื่อถือ ข้ออ้างของจำเลยที่ว่าจำเลยไม่อยู่ลงมติด้วยตนเองไม่มีน้ำหนักให้รับฟัง ทั้งการที่ผลแสดงตน หรือลงมติจะมีชื่อสมาชิกคนใดลงคะแนนอย่างไร  

 

พยานโจทก์เบิกความว่าสมาชิกสภาผู้แทนราษฎร ต้องใช้บัตรอิเล็กทรอนิกส์ของตนเสียบเข้าเครื่องอ่านบัตรฯ กับต้องกดปุ่มแสดงตนหรือลงมติด้วย ดังนั้นหากไม่มีการเสียบบัตรฯ แสดงตน และลงมติที่เครื่องอ่านบัตรฯและกดปุ่มแล้ว หรือมีการเสียบบัตรค้างไว้ แต่ไม่ได้กดปุ่ม ย่อมไม่ไม่อาจการประมวลผลใดๆ ขึ้นได้ สำหรับผิดพลาด ที่เกิดขึ้นในการประชุมเป็นข้อผิดพลาดในขั้นตอนของการประมวลผล ไม่ใช่ข้อผิดพลาดของระบบลงคะแนนอิเล็กทรอนิกส์ทั้งระบบ และในวันที่ ๘ ส.ค. ๒๕๖๒ จำเลยได้ใช้บัตรอิเล็กทรอนิกส์แสดงตนและลงมติก่อนและหลังเวลาเกิดเหตุหลายครั้ง แต่จำเลยกลับโต้แย้งเฉพาะเวลา ๑๓.๔๑ และ ๑๔.๐๑ น. ว่าระบบขัดข้องหรือผิดพลาด หากจำเลยลงมติด้วยตนเองจริงจำเลยย่อมต้องแจ้งต่อที่ปรชุมสภาถึงข้อผิดพลาดนั้นในทันที เชื่อว่าระบบการใช้บัตรฯแสดงตนและลงมติไม่เกิดข้อขัดข้องหรือผิดพลาดังที่จำเลยอ้าง 

 

องค์คณะวินิจฉัยอุทธรณ์เสียงข้างมาก เห็นว่า พฤติการณ์แห่งคดีและพยานหลักฐานแวดล้อมมีเหตุผลและน้ำหนักให้รับผังได้โดยปราศจากข้อสงสัยว่า จำเลยฝากบัตรอิเล็กทรอนิกส์ของจำเลยไว้กับสมาชิกสภาผู้แทนราษฎรอื่น หรือบัตรอิเล็กทรอนิกส์ของจำเลยไปอยู่ในความครอบครองของสมาชิกสภาผู้แทนราษฎรอื่นโดยความยินยอมของจำเลยเพื่อให้สมาชิกสภาผู้แทนราษฎรนั้นใช้บัตรอิเล็กทรอนิกส์ของจำเลยลงมติแทนตามคำพิพากษษศาลฎีกาแผนกคดีอาญาของผู้ดำรงตำแหน่งทางการเมือง จึงพิพากษายืน 
 

logoline

ข่าวที่น่าสนใจ