4 เทคนิคง่าย ๆ "ลดน้ำตาล" อย่างไรให้ยังกินหวานได้
รสชาติแห่งความหวาน คือหนึ่งในรสที่วัยเก๋าหลายคนโปรดปรานมาตั้งแต่หนุ่มยังสาว เพราะเป็นรสชาติที่กินง่าย และส่วนใหญ่จะอยู่ในของว่าง หรือเครื่องดื่มที่ติดปากมานาน "การลดน้ำตาล" เพื่อสุขภาพและหุ่นดีจึงไม่ใช่ภารกิจที่ง่ายนัก
"น้ำตาล" ที่ให้ความหวานกับเรา เป็นแหล่งพลังงานในการทำกิจกรรมต่าง ๆ ในชีวิตประจำวัน แต่สำหรับผู้สูงอายุ ควรกินในปริมาณที่เหมาะสม ไม่เกิน 4-6 ช้อนชาต่อวันเท่านั้น เพราะหากกินมากไป ร่างกายจะได้รับพลังงานเกิน จนสะสมเป็นไขมัน อาจทำให้อ้วนและนำไปสู่โรคอื่น ๆ ได้
แต่อย่างที่ทราบกันว่า ความหวานจากน้ำตาลเป็นแหล่งพลังงานในการทำกิจกรรมต่าง ๆ ในชีวิตประจำวัน แต่สำหรับผู้สูงอายุ ควรกินในปริมาณที่เหมาะสม ไม่เกิน 4-6 ช้อนชาต่อวันเท่านั้น เพราะหากกินมากไป ร่างกายจะได้รับพลังงานเกิน จนสะสมเป็นไขมัน อาจทำให้อ้วนและนำไปสู่โรคอื่น ๆ ได้
4 เทคนิค ลดน้ำตาล กินหวานอย่างพอดี
สำหรับคนไหนที่กินน้ำตาลในปริมาณพอเหมาะอยู่แล้ว ก็ถือเป็นเรื่องดี แต่หากใครยังติดหวานสามารถค่อย ๆ ลองปรับตัวตามเทคนิคเหล่านี้ดู
1) เลือกเครื่องดื่ม สั่งหวานน้อย เพราะเครื่องดื่มในปัจจุบันมีน้ำตาลมาก ควรสั่งระดับความหวานที่ 0-50 % หรือ น้อยกว่าที่ดื่มอยู่ 1 ระดับ
2) อ่านฉลากโภชนาการ ตรวจสอบว่าอาหารและเครื่องดื่มมีปริมาณมากน้อยแค่ไหน เพื่อเลี่ยงอาหารที่มีน้ำตาลมาก
3) เลือกผลไม้หวานน้อย กินผลไม้แทนขนมหรืออาหารว่าง เช่น แอปเปิลเขียว ฝรั่ง กล้วย แก้วมังกร หรือเบอร์รี
4) มองหาสัญลักษณ์โภชนาการทางเลือกสุขภาพ ที่ช่วยบอกว่าผลิตภัณฑ์ดังกล่าวผ่านการตรวจสอบปริมาณน้ำตาล ไขมัน โซเดียม ว่าอยู่ในปริมาณที่เหมาะสม
จำนวนน้ำตาลที่ซ่อนอยู่ในอาหารแต่ละชนิด
ลองไปสำรวจข้อมูลนี้ เพื่อเปรียบเทียบปริมาณของน้ำตาลเป็นช้อนชากันเลย
- น้ำอัดลม 1 กระป๋อง (350 มิลลิลิตร) มีน้ำตาล 37 กรัม หรือ ประมาณ 9 ช้อนชา
- น้ำผลไม้กล่อง 1 กล่อง (200 มิลลิลิตร) มีน้ำตาล 18 กรัม หรือ ประมาณ 4.5 ช้อนชา
- ชานมไข่มุก 1 แก้ว (500 มิลลิลิตร) มีน้ำตาล 38 กรัม หรือ ประมาณ 9 ช้อนชา
- ทุเรียนหมอนทอง 100 กรัม มีน้ำตาล 14 กรัม หรือ ประมาณ 3.5 ช้อนชา
ที่มาข้อมูล : สำนักงานกองทุนสนับสนุนการสร้างเสริมสุขภาพ